เนื่องจากไม่มีเวลา และลาไม่ได้ แต่อยากไปแรด เฮ้ย เที่ยวต่างประเทศ ที่เดินทางไม่ไกล บินไม่นาน เลยตัดสินใจไปเที่ยวประเทศเพื่อนบ้านเราอย่างไป เที่ยวมาเลเซีย ซึ่งก่อนหน้านั้นเราเคยไปตะลุยปีนังมาแล้ว รอบนี้เลยตัดสินใจไปเมืองหลวงอย่าง กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ( Kuala Lumpur , Malaysia )
จากสนามบินดอนเมือง สู่สนามบินนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมง รอบนี้เราเลือกบินด้วยแอร์เอเซีย และตอนนั้นบนเครื่องบินมีเมนูใหม่อย่างชานมไข่มุก ก็เลยมีโอกาสได้ลอง ขอบอกเลยว่า ใครไม่กินหวาน ข้ามไปได้เลย แต่ตัวไข่มุกอร่อยอยู่นะ
เที่ยวมาเลเซีย ต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง?
- Passport ในการเข้าประเทศ สำหรับมาเลเซียผู้เดินทางไม่จำเป็นต้องขอวีซ่า และสามารถพำนักอยู่ได้ 30 วัน
- มาเลเซียใช้สกุลเงิน MYR หรือริงกิตมาเลเซีย แนะนำว่าแลกที่ Superrich สีเขียว หรือ Pentor Exchange ได้เรทดี
- สกุลเงิน MYR จะเริ่มต้นที่แบงค์ 1, 5, 10, 20, 50, 100 RM และจะมีเหรียญ 5, 10, 20, 50 เซ็น
- สำหรับนักท่องเที่ยว จะมีค่าภาษีท่องเที่ยว (Tourism Fee) ที่เก็บเพิ่มคืนละ 10 RM
- ถึงแม้ว่าคนในประเทศมาเลเซียถึงส่วนใหญ่จะใช้ภาษามลายู แต่พอสอบถามทาง หรือร้านอาหารเป็นภาษาอังกฤษสามารถตอบได้
- การเดินทางไปยังสถานที่เที่ยวหลักในเมืองกัวลาลัมเปอร์ และเมืองใกล้เคียง ค่อนข้างสะดวกสบาย สามารถใช้รถไฟที่มีให้บริการได้
- NasiLemak เป็นอาหารยอดนิยมของชาวมาเลเซีย เพราะฉะนั้นไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมเห็นอาหารเต็มไปหมด
หลังจากลงเครื่อง ตรวจตม.ขาเข้าแบบสบาย ๆ สิ่งแรกที่ทำคือ ไปรับ KL TravelPass ที่ซื้อผ่านเว็บไซด์ Klook.com เราชอบเว็บนี้ตรงที่พวกค่าใช้จ่ายในการซื้อตั๋ว หรือสถานที่ท่องเที่ยวถูกลงอย่างสัมผัสได้ โดยรอบนี้เราเลือกแพ็กเกจรถไฟสนามบิน KLIA Ekspres แบบไป-กลับ และตั๋วรถไฟ LRT, MRT และ KL Monorail แบบไม่จำกัดในสองวัน ซึ่งตอบโจทย์เราพอดี โดยใครที่ซื้อผ่าน Klook สามารถไปรับบัตรได้ที่เคาเตอร์ด้านหน้าทางลงรถไฟได้เลย เจ้าหน้าที่ดูแลดี อธิบายการใช้งานแบบละเอียด รวมไปถึงการหาซิมมือถือ ซึ่งที่นี่จะมีให้เลือกหลายเจ้าทั้ง HotLink, Xpax แต่รอบนี้เราเลือก Digi ได้มาในราคา 20RM
หลังจากขึ้น KLIA Ekspres แล้ว เราจะใช้เวลาไม่ถึง 30 นาทีจากสนามบินเข้าสู่ตัวเมืองกัวลาลัมเปอร์ โดยทุกสถานีในเมืองจะมีจุดศูนย์รวมที่สถานี KL Sentral หลังจากเราลงจากรถไฟแล้ว ก็สามารถต่อรถไฟสายอื่นๆ ในสถานีนี้ได้ทันที หรือตั้งต้นจากสถานีนี้ก็ได้
เนื่องจากเป็นทริปฉุกละหุก เลยไปตั้งต้นที่โรงแรมที่จองไว้ก่อน รอบนี้เป็นครั้งแรกที่ได้ลองใช้บริการ AgodaHomes ซึ่งเป็นลักษณะคล้ายๆ AirBnb มากๆ โดยเราเลือกพักที่ Vortex Suites ย่าน KLCC (Kuala Lumpur City Centre) ราคาคืนละ 800 บาทถ้วน เป็นคอนโดสองห้องนอน ส่วนกลางในห้องใช้รวม และแยกห้องนอนกับผู้พักคนอื่น ส่วนกลางค่อนข้างครบ ราวกับอยู่บ้าน
หลังจากเก็บของพักเหนื่อย สถานที่แรกที่ไปคือ ย่าน Petaling Street หรือที่เขาเรียกกันว่า China Town แห่ง Kuala Lumpur เป้าหมายของเราคือ การหาอาหารให้ตกถึงท้อง แต่ด้วยความหิว เจอร้านไหนเราก็เข้า ทำให้ลืมชื่อร้านที่จะมาเขียน ฮืออออ แต่เมนูที่สั่งเป็นข้าวมันสมุนไพร ไก่ต้ม หมูแดง เกาเหลาเนื้อน่อง คือดีมาก โดยเฉพาะข้าวกินหมูแดงคือฟินไปเลย เฮ้อ ทำไมถึงไม่จำชื่อร้านมานะ เอาเป็นว่าไปเดินย่าน Petaling Street ให้สังเกตร้านที่มีหมูแดงกับไก่แขวนไว้ อยู่ในตึกแถว ราคามื้อนี้อยู่ที่ราวๆ 32RM
หลังจากนั้นก็เป็นการเดินเท้าเที่ยวรอบเมือง วนเป็นวงกลม ในบางจุดที่ไม่มีสถานีรถไฟผ่าน บรรยากาศจะขมุกขมัวนิดนึงเพราะช่วงที่เราไปเจอวิกฤตควันไฟป่าพอดีด้วย แต่ไม่แสบจมูกเลยค่ะ
หลังจากนั้นนั่งรถไฟเส้นสีเขียวเหมือนเดิม และเดินเท้าอีกราวๆ 10 นาทีเพื่อขึ้นไปเที่ยว KL Tower สารภาพว่าตอนนั้นซื้อตั๋วเข้าผ่านเว็บ Klook ไม่ทัน จึงจำใจต้องจ่ายราคาเต็ม ขาขึ้นไปที่ KL Tower มีบริการรถตู้รับ-ส่งฟรีนะ ไม่ต้องเดินเท้าขึ้นไป
สำหรับการขึ้น KL Tower มีหลายราคาให้เลือก เราซื้อแบบมี Sky Deck /Sky Box จ่ายค่าเข้ารวมๆ คนละ 99RM (*7.3 เข้าไปสิ) นอกจากชมวิวแล้ว ยังมี Sky Box ให้ถ่ายรูป ส่วนตัวสำหรับคนมาครั้งแรกก็ควรมาให้รู้ว่ามาแหละ แต่สำหรับเรา เสียเวลารอคิวสองชั่วโมงเพื่อรอถ่ายรูปกับ Sky Box เพียง 1.40 นาทีไม่ค่อยคุ้มกับเวลาที่เสียไปเท่าไหรนะคะ
ขากลับลงมาก็เริ่มหิวละ ได้เวลาไปหามื้อเย็นกระแทกปากกันต่อ โดยร้านนี้เราดูคลิปรีวิวจาก KL Foodies และตั้งใจว่าเอาละ ต้องไปลองสักครั้ง โดยรอบนี้เราเลือกนั่งรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาลมาลงที่สถานี Pudu เดินทะลุซอยมา เดินไม่ถึง 3 นาที ก็จะเจอร้านชื่อ Claypot Chicken At Kedai Kopi Pudu Satu Enam Lapan เป็นข้าวอบหม้อดิน ไก่ กุนเชียง เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้ม ส่วนตัวคือข้าวจะหอมมากจากการอบหม้อดิน แต่รสซอสไม่เค็มจัด เพราะฉะนั้นคนที่กินเค็ม แนะนำให้ใส่น้ำจิ้มเพิ่มช่วยให้อร่อยมากขึ้นค่ะ มีสองราคาคือ หม้อเล็ก 13RM และหม้อใหญ่ 20RM
จริงๆ ตอนนั้นก็อิ่มแล้ว แต่มันเหมือนมีอะไรดลใจให้อยากหาร้านที่ขาย Lok Lok กินในตอนนั้น (Lok Lok คือ การนำเอาเนื้อสัตว์ต่างๆ เสียบไม้ จิ้มใส่หม้อที่มีน้ำซุปเดือดๆ แล้วก็จิ้มลงไป รอจนสุก และจิ้มกับน้ำจิ้มที่มีให้เลือกมากมาย ราคาจะคิดตามสีที่ติดไว้บนไม้เสียบ ) และ จำได้ว่าตอนไปกินที่ปีนัง จิ้มๆจุ่มๆ จิ้มซอสคือกินเพลินเวอร์ โดนไปหลาย RM เหมือนกัน รอบนี้เลยหาร้านใกล้ๆ เดินจากร้าน Claypot ประมาณ 10 นาที ต้องบอกว่าธรรมดา ไม่ได้ว้าวมาก
หลังจากนั้นนั่งรถไฟใต้ดินสายสีชมพูลงสถานี KLCC เดินขึ้นมาก็จะเจอสถานที่ที่ใครมากัวลาลัมเปอร์ แล้วไม่แวะมาดู หรือถ่ายรูป ก็เหมือนมาไม่ถึง นั้นก็คือ ตึกแฝดปิโตรนาส (Petronas Twin Towers) หรือบางคนอาจจะเรียก เปโตรนาสทาวเวอร์
ก่อนเข้าไปถ่ายรูป เจอรถไมโลขายเป็นแก้วมีคนซื้อเยอะเหมือนกัน เพราะเท่าที่ทราบคือ ประเทศมาเลเซียเป็นประเทศที่บริโภคไมโลมากที่สุดในโลกด้วย แก้วนี้ราคา 3RM อาจจะไม่นัวนมเท่าของไทย แต่สดชื่น หายเหนื่อยดี และถ่ายรูปกับตึกแฝดนี้ซะหน่อย ขนาดตอนนั้นเราไปเวลาประมาณเกือบๆ เที่ยงคืน ก็ยังมีคนมาถ่ายรูปกันเยอะมาก ถ้าใครแพลนไปคนเดียวแล้วไม่มีคนถ่ายรูปให้ แถวนั้นมีบริการถ่ายภาพให้ด้วยนะ ไม่ได้ถามราคา แต่โดนตื้อเป็นระยะๆ เลยละ
หลังจากถ่ายเสร็จก็ได้เวลากลับไปพักผ่อนละ แต่ด้วย ณ เวลานั้นรถไฟฟ้าปิดแล้ว ต้องใช้วิธีเดินเท้าอย่างเดียว สำหรับโซน KLCC ตอนกลางคืนค่อนข้างครึกครื้นดีนะ ใครที่นิยมที่เที่ยวกลางคืน พักโซน KLCC ก็น่าจะตอบโจทย์เหมือนกัน
อ่านไปกัวลาลัมเปอร์คืนเดียว เที่ยวอะไรดี? ตอนจบ คลิก